เรียกว่าดังจนฉุดไม่อยู่ สำหรับ “ไมค์-พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล” ที่นอกจากโกอินเตอร์ไปดังเป็นพลุแตกในเมืองจีนแล้ว ความปังของเขายังไปเตะตาฮอลลีวู้ด จนได้ร่วมงานกับนักแสดงระดับโลกด้วย วันนี้ แพรว ต่อสายตรงหาไมค์ พูดคุยถึงเรื่องราวความพยายามขั้นสุดของเขาที่ผลักดันให้ตัวเองไปถึงฝัน จนมีแฟนคลับจากเมืองจีนติดตามเป็นอันดับหนึ่งในเมืองไทย
“หลังจากละครเรื่อง Full House วุ่นนักรักเต็มบ้าน ออกอากาศในบ้านเราเมื่อปี 2014 แล้วมีการนำไปฉายต่อที่เมืองจีนในปีเดียวกัน ทำให้มีแฟนคลับชาวจีนเพิ่มขึ้นเยอะ จากนั้นทีมงานจีนติดต่อมา อยากให้ผมลองไปทำงานที่นั่น ตอนนั้นคนรอบข้างไม่เห็นด้วยนะครับ เพราะเห็นว่าหน้าที่การงานที่เมืองไทยก็ดีอยู่แล้ว แต่ผมคิดว่าเมื่อมีโอกาสเข้ามาก็อยากลองทำอะไรใหม่ๆ ดูบ้าง ประกอบกับผมไม่ชอบอยู่ในเซฟโซน มีวิธีคิดเหมือนกับการทำธุรกิจที่ต้องลองเสี่ยงบ้าง ยิ่งเสี่ยงมาก ผลตอบรับยิ่งสูง จึงตัดสินใจไปเริ่มต้นที่จีนเพื่อขยายฐานของแฟนคลับมากขึ้น”
ในปี 2015 ได้แสดงซีรี่ส์จีนเรื่อง อู๋ซิน จอมขมังเวทย์ รับบทเป็นปีศาจชื่อไป๋หลิวหลี่ แม้เป็นบทรับเชิญไม่กี่ตอน แต่กระแสตอบรับดี ไมค์จึงได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง Surprise (2015) รับบทเป็นตือโป๊ยก่าย ใส่จมูกปลอมและเสริมพุงโต จนแฟนๆ จำไม่ได้ แต่ที่ทำให้เขาดังเป็นพลุแตกก็คือการรับบทเป็นเชฟที่แสนจะเย็นชา แต่แฝงด้วยความอบอุ่นในเรื่อง Delicious Destiny (2017) สามารถโกยเรตติ้งยอดชมจากอินเทอร์เน็ตเป็นอันดับ 1 ทำให้ชื่อของไมค์เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ประสบความสำเร็จเร็วกว่าที่เขาคาดหวังไว้ ซึ่งกว่าที่จะมีวันนี้ก็ต้องแลกกับความพยายามขั้นสุด
“ผมไปทำงานที่จีนโดยไม่เคยเรียนภาษาจีนมาก่อน ทำให้การสื่อสารค่อนข้างลำบาก แค่แสดงละครเป็นภาษาไทยก็ว่ายากแล้ว แต่ต้องเล่นบทบาทโดยใช้ภาษาจีน โดยมีผมคนเดียวที่พูดไม่ได้ แต่ความที่ผมชอบตั้งกฎเกณฑ์ให้ตัวเอง จึงพยายามอย่างหนัก เพราะอยากแสดงศักยภาพให้ทุกคนเห็น ช่วงแรกใช้วิธีท่องจำบทแบบเขียนเป็นคาราโอเกะภาษาไทยแล้วนั่งท่องจนเข้าปาก แต่ถึงอย่างนั้นพอไปหน้างานมักมีความกดดัน ความตื่นเต้น ทำให้สมาธิหลุด จำบทไม่ได้บ่อย ช่วงแรกเครียดมาก แต่แก้ปัญหาโดยเพิ่มชั่วโมงการอ่าน จากชั่วโมงครึ่งเป็น 3 ชั่วโมง ท่องเหมือนเวลาสวดมนต์ที่เราอาจจะไม่รู้ความหมาย แต่สามารถพูดออกมาได้ สุดท้ายก็คล่องปากขึ้น
“ตอนนี้ผมอยู่เมืองจีนมา 4 ปีแล้ว ยังพูดไม่คล่อง แต่พอฟังออก เดาคำศัพท์ได้บ้างว่าถ้าเขาพูดคำนี้หมายถึงเรื่องอะไร ปัญหาใหญ่คือเรื่องการเรียงประโยค เพราะไม่มีโอกาสเรียนจริงจัง เคยเข้าคอร์ส แต่เรียนได้สักพักก็ต้องเลิก เพราะคิวงานแน่นมาก ต้องใช้วิธีฝึกพูดภาษาจีนในชีวิตประจำวันให้มาก ที่สุด แม้กระทั่งเวลากินข้าว ผมก็ยังนั่งเรียนด้วยตัวเอง โดยฟังคนอื่นพูดคุยกันและคอยจับประโยค ที่สำคัญต้องไม่อายเวลาพูดผิด เพราะเดี๋ยวเขาจะแก้ให้เราเอง อย่างเวลาไปออกรายการที่ต้องพูดภาษาจีน ผมจะขอดูคำถาม เพื่อให้มีเวลาคิดคำตอบก่อน เพราะเราไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเจอกับอะไรบ้าง บางทีก็มีด้นสดและหลุดหน้างานบ้าง เพราะพูดกันเร็วมาก และบางทีก็ไม่เคยได้ยินคำศัพท์นั้นมาก่อน ใช้วิธีฮาๆ กลบเกลื่อนไป” (หัวเราะ)
นอกจากการแสดงที่ตีบทแตกแล้ว การวางตัวในฐานะซุป’ตาร์ของไมค์ก็ได้ใจแฟนๆ ชาวจีน จนตั้งชื่อให้เขาว่า Mai Ke (หมายถึงไมค์) ก่อนที่เขาจะได้ตัวเลขคนติดตามถึง 7.5 ล้านคนใน Weibo ถือเป็นนักแสดงในเมืองไทยที่มีแฟนคลับจีนติดตามเยอะที่สุด จนทำให้ได้รับรางวัล Foreign Artist of the Year จาก Weibo Fan Festival 2018
“ถ้าให้ผมวิเคราะห์ว่าเพราะอะไร ผมคิดว่าเพราะความเป็นกันเอง บางทีแฟนคลับมารอรับที่สนามบินแล้วไฟลท์ดีเลย์ ผมก็จะซื้อน้ำไปฝากพวกเขาด้วย เพราะหลายคนมารอกันตั้งแต่เช้า กับอาจจะเป็นบุคลิกของผมด้วย ที่บางทีก็ขรึมนิ่ง บางทีตลก มีหลายคาแร็คเตอร์ เขาก็อาจจะชอบตรงนี้ แต่แม้จะมีแฟนคลับคนจีนเพิ่มขึ้น แต่ผมไม่เคยลืมแฟนคลับชาวไทยนะ (ยอดแฟนๆ ติดตามทางไอจีของไมค์ 2.8 ล้านคน) เดี๋ยวนี้โลกแคบลง พอผลงานผมออกมาไม่กี่วันก็จะมีคนทำเป็นซับไทยแล้วดูกันได้เลย พอถึงวันสำคัญๆ ผมก็จะส่งคำอวยพรเป็นภาษาไทยมาให้แฟนๆ ด้วย สำหรับรางวัลที่ได้รับ พูดตามตรงเลยว่าผมไม่เคยคิดว่าจะได้รางวัลนี้ เพราะที่จีนมีศิลปินต่างชาติหลายคน แต่ก็ดีใจครับ เพราะผมทุ่มเทกับตรงนี้จริงๆ ใส่พลังกับมันจนสุดจริงๆ รางวัลจึงเป็นเหมือนเครื่องต่อชีวิตให้เรา ผมอยากขอบคุณแฟนคลับทุกๆ ประเทศที่คอยติดตามผลงานและสนับสนุนมาตลอด ถ้าไม่มีแฟนคลับคอยซัพพอร์ต ผมคงมาถึงจุดนี้ไม่ได้ ทุกคนเป็นกำลังใจและเป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จของผมครับ
“ผมทำงานหนักมาก เพราะผมยังพูดจีนไม่คล่อง โอกาสที่จะได้งานหนึ่งงานถือว่ายาก เพราะเขาก็ต้องเลือกคนที่พูดภาษาจีนได้มากกว่าเรา แต่อาจเป็นเพราะผมไม่ยอมแพ้ อยากเป็นเพอร์เฟ็กชั่นนิสต์ อย่างไรก็ต้องพูดภาษาจีนให้ได้ อย่างตอนถ่ายละครมีทีมงานบอกว่า ถ้ายูกังวลหรือกลัวช้า จะพูดภาษาไทยหรืออังกฤษก็ได้นะ เพราะเขาจะต้องพากย์เสียงจีนกลางทับอยู่ดี (เนื่องจากภาษาจีนมีหลายเวอร์ชั่น จึงมีระบบพากย์เสียงภาษาจีนกลางทับ ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงชาวจีนหรือชาวต่างชาติ) แต่ผมคิดว่ามันไม่เป็นมืออาชีพ จึงยืนกรานจะพูดจีน ต่อให้ต้องนอนดึก ต้องนั่งท่อง 3 ชั่วโมงหลังจากถ่ายงานเสร็จก็ยอม เพราะไม่อย่างนั้นปากที่ผมพูดจะไม่ตรงกับเสียงที่เปล่งออกไป ทำให้ผู้ชมเสียอรรถรส ซึ่งผู้กำกับก็ชมเราตรงจุดนี้ที่มีความตั้งใจ ยอมเลือกทางที่เดินยาก แต่ได้คุณภาพ ผมคิดว่าถ้าเราทำอะไรง่ายๆ ก็จะไม่พัฒนา และเพราะการที่ผมพยายามใช้ความสามารถของตัวเองให้มากที่สุด ก็ทำให้ตัวเองมาถึงจุดนี้”
ล่าสุดไมค์ได้โกอินเตอร์ไปอีกขั้น ได้ประเดิมงานฮอลลีวู้ดเรื่องแรกในบทวิค ชายหนุ่มสุดเนิร์ด มันสมองของทีม ในเรื่อง The Misfits ซึ่งเขาได้ร่วมงานกับพระเอกในตำนานอย่างเพียร์ซ บรอสแนน
“ผมมีโอกาสเซ็นสัญญากับทางค่าย CAA (เอเจนซี่ดังที่มีนักแสดงอย่างแบรด พิตต์, ทอม ครูซ, นิโคล คิดแมน และเอ็มม่า วัตสัน) จากนั้นก็ไปแคสติ้งบทเรื่อยๆ เนื่องจากต่างประเทศใช้ระบบนี้ ต่อให้เรามีชื่อเสียงแล้วก็ตาม อย่างไรก็ต้องแคสติ้ง เพราะเขาจะดูว่าคาแร็คเตอร์เหมาะกับเราไหม ซึ่งในปีนี้ผมก็แคสติ้งผ่าน มีโอกาสเล่นหนังเรื่อง The Misfits รับบทเป็นวิค ซึ่งอยู่ในกลุ่มคนที่พยายามทำเรื่องดีๆ ให้กับโลก คล้ายๆ โรบินฮู้ดที่ปล้นคนร้ายแล้วเอาเงินมาทำเรื่องดีๆ บทของผมจะเป็นมันสมองของทีม ดูเนิร์ดๆ บ้าๆ พยายามเท่ แต่แฝงด้วยความตลก
“สิ่งที่ตื่นเต้นมากที่สุดคือได้แสดงร่วมกับเพียร์ซ บรอสแนน ผมโตมากับช่วงที่เขารับบทเป็นเจมส์ บอนด์ ตัวจริงเขาน่ารัก มีพลังบวกเยอะและให้กำลังใจผมเสมอ ขณะที่ผมประหม่า เพราะเขาเป็นถึงดาราระดับโลก หน้าตาจึงดูตื่นเต้น หลุดๆ ตลอดเวลา เขาก็เดินมาจับมือผมแล้วบอกว่า วันนี้ต้องทำได้ ไม่ต้องตื่นเต้น เรียกว่าเป็นฟีลรุ่นใหญ่ให้กำลังใจรุ่นเล็ก แล้วทุกคนในกองก็น่ารักมาก เป็นกองถ่ายชิลๆ ซึ่งการทำงานของกองถ่ายฮอลลีวู้ดไม่ต่างจากที่เมืองจีน นักแสดงจะทำงานอยู่ที่ประมาณ 12 ชั่วโมง จากนั้นทุกคนจะกลับไปพักผ่อน ซึ่งเขาจะกำหนดเวลาการนอน เวลาพักผ่อนที่ชัดเจน”
แพรว ถามไมค์ว่าสิ่งที่ได้เรียนรู้ที่สุดจากการโกอินเตอร์คืออะไร
“มันช่วยเปิดโลกกว้างให้ผม ได้ออกมาเรียนรู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้ โดยเฉพาะการรู้จักศักยภาพตัวเอง บางครั้งผมเคยไม่มั่นใจ แต่พอไปทำงานที่ต่างประเทศ มันเหมือนกับได้เปิดตาที่สามให้กับเรา จริงๆ ผมทำอะไรได้มากมาย เช่น มีซีนที่บทของผมยาว 4 หน้าเต็ม เป็นฉากที่แฟนเสียชีวิต แล้วผมต้องมานั่งต่อจิกซอว์ที่อดีตแฟนเคยต่อไว้ ร้องไห้เป็นบ้า ทุบตัวเอง ตะโกน แล้วก็กลับมาร้องไห้อีก แล้วก็ต้องพูดบท 4 หน้านั้นไปพร้อมกัน ถ่ายเทคเดียวยาวๆ แล้วผ่าน พอทำเสร็จก็ภูมิใจ คนส่วนใหญ่เห็นเราทำได้ เขาก็ชม แต่เขาไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วผมซ้อมฉากนั้น มา 3-4 ชั่วโมง ท่องบทซ้ำไปซ้ำมาวนเป็นร้อยๆ รอบ หลายคนเห็นแค่ตอนที่เราประสบความสำเร็จ แต่เขาไม่เห็นว่ากว่าเราจะผ่านตรงนั้นมาได้ต้องมีความพยายามขนาดไหน ซึ่งผมว่ามันไม่มีทางลัด ต้องใช้ความตั้งใจและทุ่มเทล้วนๆ จึงได้คำตอบว่าจริงๆ แล้วเราทำอะไรได้หลายอย่างถ้าตั้งใจจริง
“ผมไม่มีภาพฝันสูงสุด มีแค่เป้าหมายที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะความชอบจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลาและอายุ และผมว่ามันไม่มีความสิ้นสุดในการที่มนุษย์คนหนึ่งจะสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้ อย่างตอนนี้ผมมาถึงฮอลลีวู้ด หลายคนอาจจะบอกว่าสุดแล้ว แต่ผมรู้สึกว่าตัวเองมาถึงจุดเริ่มต้นของความฝันที่แต่ก่อนเราคิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ ซึ่งต่อจากนี้ผมก็ยังจะตั้งเป้าหมายสูงกว่าเดิม เหมือนการปีนภูเขาขึ้นไปเรื่อยๆ ต่อไปผมอาจจะเป็นโปรดิวเซอร์ ผู้กำกับ หรือทำธุรกิจที่ชอบก็ได้”
ติดตามบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ที่ นิตยสารแพรว ฉบับ 945