เบื้องลึกรักหวานในสนามเทนนิส จักรพรรดิ-จักรพรรดินีญี่ปุ่น สู้ฟันฝ่าม่านประเพณี… เชื่อว่าใครก็ตามที่ได้เห็นภาพพระบรมฉายาลักษณ์คู่ของ สมเด็จพระจักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งญี่ปุ่น ในหลายๆ ครั้ง คงเกิดความตื้นตัน อิ่มเอมใจ และประทับใจในรักแท้ที่มั่นคงและยาวนานของทั้งสองพระองค์
โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ที่เพิ่งผ่านพ้นงานฉลองราชาภิเษกสมรสครบ 60 ปี แบบเรียบง่าย และใกล้จะถึงวันสละราชสมบัติ ในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2562 ซึ่งล่าสุดสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะ ไปในการพระราชพิธีกราบบังคมทูลลาสละราชสมบัติ ณ ศาลเจ้าอิเสะ จังหวัดมิเอะ ศาลเจ้าที่นับถือว่าเป็นบรมบรรพบุรุษต้นราชตระกูลแห่งพระราชวงศ์ญี่ปุ่น โดยข้าราชบริพารในพระองค์ได้อัญเชิญเครื่องราชกกุธภัณฑ์ 2 องค์ ได้แก่ พระแสงดาบวิเศษคุซานางิ และสร้อยลูกปัดยาซาคานิ ออกจากศาลเจ้าในพระราชวัง เพื่อร่วมประกอบในพระราชพิธีนี้ด้วย ส่วนกระจกยาตะเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์องค์ที่ 3 ซึ่งประดิษฐานอยู่ ณ วิหารหลวงในศาลเจ้าอิเสะเป็นการถาวร
สำหรับเรื่องราวความรักของสมเด็จพระจักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งญี่ปุ่น โดยรวมต้องเรียกว่างดงามดุจเทพนิยาย แม้เส้นทางแห่งรักช่วงแรกจะมีกลิ่นอายของม่านรักประเพณีแทรกเจืออยู่บ้างก็ตาม อย่างที่หลายคนอาจทราบกันมาบ้างว่าการอภิเษกสมรสระหว่างสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะและสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะเมื่อ 60 ปีก่อน คือการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่ประเทศญี่ปุ่น เพราะเป็นการอภิเษกสมรสครั้งแรกระหว่างคนในราชวงศ์กับหญิงสาวสามัญชน กลิ่นอายของม่านรักประเพณีจึงมาจากสาเหตุหลักที่ว่านี่ไม่ใช่ธรรมเนียมของวังหลวงที่เคยปฏิบัติกันมาแต่เก่าก่อนเลยสักนิด
ย้อนกลับไปในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2500 ณ สนามเทนนิสในเมืองคะรุอิซะวะ จังหวัดนากาโนะ เมื่อมกุฎราชกุมารอากิฮิโตะ ทรงพบกับนางสาวมิชิโกะ โชดะ เป็นครั้งแรก ว่ากันว่าองค์มกุฎราชกุมารทรงต้องพระทัยในตัวหญิงสาวที่มีวัยห่างกันเพียง 1 ปีตั้งแต่แรกพบ เหตุเพราะเธอช่างดูผสานโลกยุคเก่าและใหม่เข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว กล่าวคือแม้จะมีความทันสมัย ปราดเปรียวตามสไตล์สาวที่เรียนจบปริญญา (วรรณคดีอังกฤษ) แต่ก็ยังมีความนุ่มนวล ถ่อมตนในจังหวะแบบสาวญี่ปุ่นอยู่ในกริยาท่าทางและคำพูดคำจา
เมื่อสองคนใจตรงกัน ต้นรักจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว ไม่นานองค์มกุฎราชกุมารก็ทรงส่งสาสน์ไปขอหญิงคนรักจากพ่อของเธอ แต่ฮิเดซะบุโระ โชดะ มิใช่คนธรรมดา เขาเป็นถึงประธานบริษัท NisshinnSeifun Group Inc ร่ำรวย มีการศึกษา ฉลาดหลักแหลม และที่สำคัญคือครอบครัวเขานับถือศาสนาคริสต์
แม้ลูกสาวเขาจะยังไม่เคยเข้าพิธีรับศีลล้างบาปเลยก็ตาม แต่เสียงร่ำลือถึงความเคร่งครัดของราชวงศ์เบญจมาศ กับลูกสาวที่เขาเลี้ยงดูมาอย่างให้ความรัก ให้อิสระในการดำเนินชีวิต การเข้าไปเป็นสมาชิกราชวงศ์ซึ่งไม่เคยมีธรรมเนียมเปิดรับสามัญชนมาก่อน จึงมีความหมายเท่ากับการแบกรับแรงกดดันซะมากกว่า นั่นทำให้นายโชดะมองออกทะลุปรุโปร่งเลยว่ารักต่างชนชั้น ต่างศาสนาไม่มีวันเวิร์ค จึงส่งข้อความตอบไปเพียงสั้นๆ ว่า “ลูกสาวของกระหม่อมไม่คู่ควรกับพระองค์”
ข้างฝ่ายมกุฎราชกุมารซึ่งปักพระทัยรักแน่วแน่เข้าไปแล้วก็ไม่ทรงยอมถอย เมื่อการพบกันกลายเป็นเรื่องยาก จึงทรงเพียรส่งจดหมายรักถึงนางสาวโชดะ จนเมื่ออุปสรรครักล่วงรู้ถึงพระกรรณของสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะ พระราชบิดา พระองค์ก็ทรงประกาศว่า “หากมกุฎราชกุมารต้องการ ต่อให้เป็นสาวชาวบ้านก็ยินดี” และนั่นก็นำไปสู่การที่ Imperial Household Council หรือสภาพระราชวงศ์อิมพีเรียลออกมาอนุมัติพระราชพิธีหมั้นของมกุฎราชกุมารกับนางสาวโชดะ ในวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2501
เมื่อสื่อญี่ปุ่นระแคะระคายความสัมพันธ์ของมกุฎราชกุมารและสตรีสามัญชน ขนาดว่ามีมาตรฐานจริยธรรมเรื่องความเป็นส่วนพระองค์สูงส่งก็ยังอดอยากรู้อยากเห็นรายละเอียดของความสัมพันธ์นี้ไม่ได้ และพอรู้ว่ารักต่างชนชั้นนี้เกิดที่สนามเทนนิส ต่างก็เรียกขานความรักครั้งประวัติศาสตร์นี้ว่า “รักหวานในสนามเทนนิส”
ไม่ถึง 2 เดือน พระราชพิธีหมั้นก็ถูกจัดขึ้น ในวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2502 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นที่ราชวงศ์ผู้ชายทรงหมั้นหมายกับหญิงที่ไม่ได้มีเชื้อสายเจ้าหรือเป็นลูกหลานขุนนาง ประชาชนต่างประหลาดใจ ตื่นเต้น ที่มกุฎราชกุมารกำลังจะแต่งงานกับหญิงสาวคนธรรมดา ความรู้สึกว่าราชวงศ์ขยับเข้าใกล้ประชาชน กลายเป็นประเด็นที่ผู้คนพูดถึงกันในวงกว้าง
เสียงชื่นชมจากประชาชนตีคู่มากับเสียงสนับสนุนของชนชั้นการเมืองที่ต้องการแสดงให้โลกภายนอกเห็นถึงพลังของคนหนุ่มสาว นางสาวโชดะจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความทันสมัยและประชาธิปไตยในญี่ปุ่น โดยสื่อมวลชนพากันเรียกเธอว่า “มิชิบูม” (Michi Boom)
แต่เหรียญมีสองด้านฉันใด ความคิดเห็นของผู้คนก็ย่อมแตกต่างไปฉันนั้น ท่ามกลางความยินดี มีประชาชนหัวเก่าบางคนออกมาแสดงความไม่เห็นด้วย เพราะมีความเชื่อฝังหัวว่าราชวงศ์ควรคัดสรรสุภาพสตรีที่มีเชื้อสายเจ้านายมาให้มกุฎราชกุมารเสกสมรสเท่านั้น
การที่สภาพระราชวงศ์อิมพีเรียลออกมาอนุมัติพระราชพิธีหมั้นของทายาทแห่งดวงอาทิตย์ กับสตรีที่มีพื้นเพเป็นเพียงสามัญชนเท่านั้น แม้บิดาจะเป็นนักธุรกิจที่มีฐานะมั่งคั่ง แต่ก็หามียศศักดิ์ไม่ ที่สำคัญนางสาวโชดะร่ำเรียนในโรงเรียนเอกชนที่สอนศาสนาคริสต์มาโดยตลอด นี่จึงเท่ากับเป็นการทำลายกฎดั้งเดิมของราชวงศ์อิมพีเรียล
ทว่าเสียงไม่เห็นด้วยเหล่านี้ก็ยังมีน้ำหนักไม่เท่ากระแสข่าวลือที่ว่าสมเด็จพระจักรพรรดินีโคจุง พระราชชนนี ก็ทรงต่อต้านความรักครั้งนี้เช่นกัน
แต่ไม่ว่าจะมีความขัดแย้งหรือต่อต้านจากสมเด็จพระจักรพรรดินีโคจุงจริงหรือไม่ ที่สุดพระราชพิธีอภิเษกสมรสก็ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2502 มีประชาชนญี่ปุ่นกว่า 530,000 คนออกจากบ้านมาร่วมถวายพระพรแสดงความยินดีตลอดเส้นทางยาวร่วม 8.8 กิโลเมตร ซึ่งเป็นเส้นทางเสด็จโดยรถม้าพระที่นั่งเปิดประทุน
คู่สมรสใหม่ในฉลองพระองค์ชุดสากลประทับเคียงคู่คอยโบกพระหัตถ์ให้ผู้คนที่มารอเฝ้าฯ รับเสด็จ ดูงดงามราวกับภาพฝันในเทพนิยาย มีการถ่ายทอดสดงานอภิเษกสมรส ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของญี่ปุ่นที่มีการถ่ายทอดสดงานอภิเษกสมรสของจักรพรรดิในอนาคต
มีสถิติจดบันทึกว่ามีผู้ชมกว่า 15 ล้านคนคอยเฝ้าชมพระราชพิธีอภิเษกสมรสนี้ผ่านทางโทรทัศน์ โดยมีหลายครอบครัวถึงกับลงทุนซื้อโทรทัศน์มาเพื่อการนี้ นั่นเป็นสิ่งยืนยันถึงความปลื้มปีติของพสกนิกรได้อย่างเด่นชัด อีกทั้งสื่อญี่ปุ่นต่างเขียนข่าวในเชิงคล้ายๆ กันว่า แม้พระราชพิธีอภิเษกสมรสครั้งนี้จะไม่เป็นไปตามหลักปฏิบัติแบบโบราณของราชวงศ์ญี่ปุ่น แต่อย่างไรเสีย นี่ก็ยังเป็น “วันที่มีความสุขที่สุดวันหนึ่งในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นยุคหลังสงครามโลก”
เรื่อง : Ghibli
ที่ปรึกษาด้านข้อมูล : Kentaro Shikano, Advisor Japanese Market Tourism Authority of Thailand
ภาพ : en.cand.com, AFP.com, Royal World Thailand – รอยัล เวิลด์ ประเทศไทย
ข้อมูลเพิ่มเติม : Theerapat Charoensuk